อุปกรณ์โซล่าเซลล์มีอะไรบ้าง? คู่มือเลือกซื้อสำหรับมือใหม่! | Sunnergytech
พลังงานแสงอาทิตย์กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยสภาพภูมิอากาศที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี ทำให้หลายคนหันมาสนใจติดตั้งระบบโซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองภายในบ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับมือใหม่หลายคน การเลือกซื้ออุปกรณ์โซล่าเซลล์อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสับสน
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับอุปกรณ์โซล่าเซลล์ที่จำเป็นต้องมี พร้อมแนวทางการเลือกซื้อที่เหมาะสมกับความต้องการใช้งานของคุณ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าก็สามารถเข้าใจได้
ทำไมโซล่าเซลล์จึงเป็นตัวเลือกที่ดี
ก่อนที่เราจะเริ่มพูดถึงอุปกรณ์ต่างๆ มาดูกันก่อนว่าทำไมโซล่าเซลล์จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับบ้านเรือนในไทย:
- ประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว: แม้ต้นทุนในการติดตั้งอาจสูง แต่ในระยะยาว คุณจะประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า
- พลังงานสะอาด: ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดภาวะโลกร้อน
- เสถียรภาพด้านพลังงาน: ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากการไฟฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีไฟดับบ่อย
- มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ: มีโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่ช่วยให้ราคาถูกลง
- เพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน: บ้านที่ติดตั้งโซล่าเซลล์มีมูลค่าที่สูงขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์
องค์ประกอบหลักของระบบโซล่าเซลล์
ระบบโซล่าเซลล์ประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่:
- แผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel)
- อินเวอร์เตอร์ (Inverter)
- แบตเตอรี่ (Battery) - สำหรับระบบที่ต้องการกักเก็บพลังงาน
- ชาร์จคอนโทรลเลอร์ (Charge Controller)
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการติดตั้งระบบอีกด้วย มาดูรายละเอียดของแต่ละส่วนกัน
แผงโซล่าเซลล์: หัวใจของระบบ
แผงโซล่าเซลล์คือหัวใจหลักของระบบ ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) โดยแผงที่มีในท้องตลาดไทยมีหลายประเภท:
ประเภทของแผงโซล่าเซลล์
-
แผงโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline)
- มีประสิทธิภาพสูง (17-22%)
- สีดำเข้ม มีลักษณะเป็นเซลล์สี่เหลี่ยมขอบมน
- อายุการใช้งานยาวนาน 25-30 ปี
- ราคาสูงกว่าประเภทอื่น
- เหมาะกับพื้นที่จำกัด ต้องการประสิทธิภาพสูง
-
แผงโพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline)
- ประสิทธิภาพปานกลาง (15-17%)
- สีน้ำเงินเข้ม มีลวดลายคล้ายกระจกแตก
- อายุการใช้งาน 20-25 ปี
- ราคาถูกกว่าแบบโมโน
- เหมาะกับพื้นที่กว้าง ต้นทุนจำกัด
-
แผงฟิล์มบาง (Thin Film)
- ประสิทธิภาพต่ำกว่า (10-13%)
- บางและยืดหยุ่นได้
- ทำงานได้ดีในสภาพแสงน้อยหรือมีเงาบางส่วน
- ราคาต่อวัตต์ถูกที่สุด
- ต้องใช้พื้นที่มากกว่า
การเลือกขนาดกำลังวัตต์ของแผง
ขนาดกำลังวัตต์ (Watt) ของแผงจะบ่งบอกถึงพลังงานที่แผงสามารถผลิตได้ในสภาพอุดมคติ โดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 100W ไปจนถึง 550W ต่อแผง
วิธีคำนวณอย่างง่าย:
- คำนวณปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ต่อวัน (หน่วย kWh)
- หารด้วยจำนวนชั่วโมงแดดเฉลี่ยในพื้นที่ (ประเทศไทยประมาณ 5-6 ชั่วโมง/วัน)
- เพิ่มอีก 25% เผื่อการสูญเสียประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง: หากใช้ไฟฟ้า 10 kWh/วัน ÷ 5 ชั่วโมง × 1.25 = ต้องการระบบขนาด 2.5 kW (หรือประมาณ 7-8 แผง ขนาด 350W)
ปัจจัยในการเลือกแผงโซล่าเซลล์
- แบรนด์และการรับประกัน: เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและให้การรับประกันยาวนาน (25-30 ปี)
- ประสิทธิภาพ: แผงประสิทธิภาพสูงใช้พื้นที่น้อยกว่าแต่ราคาสูงกว่า
- พื้นที่ติดตั้ง: หากมีพื้นที่จำกัด ควรเลือกแผงประสิทธิภาพสูง
- สภาพอากาศในพื้นที่: บางประเภททนความร้อนได้ดีกว่า
- งบประมาณ: เปรียบเทียบราคาต่อวัตต์
อินเวอร์เตอร์: แปลงพลังงานให้ใช้งานได้
อินเวอร์เตอร์ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากแผงโซล่าเซลล์เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่ใช้ในบ้านเรือน โดยมีหลายประเภท:
ประเภทของอินเวอร์เตอร์
-
อินเวอร์เตอร์แบบต่อกริด (On-Grid / Grid-Tied Inverter)
- เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า
- ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่
- สามารถขายไฟกลับให้การไฟฟ้าได้ (ต้องทำข้อตกลง)
- ราคาถูกกว่าระบบอื่น
- ข้อเสีย: เมื่อไฟดับ ระบบโซล่าจะหยุดทำงานด้วย
-
อินเวอร์เตอร์แบบอิสระ (Off-Grid Inverter)
- ทำงานแยกอิสระจากระบบไฟฟ้าหลัก
- ต้องใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงาน
- ใช้ได้แม้ไฟดับ
- เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล หรือต้องการความเสถียรสูง
-
อินเวอร์เตอร์แบบไฮบริด (Hybrid Inverter)
- ผสมผสานคุณสมบัติทั้งสองแบบ
- สามารถเชื่อมต่อกับกริดและใช้แบตเตอรี่
- ทำงานได้แม้ไฟดับ
- ปรับเปลี่ยนโหมดได้อัตโนมัติ
- ราคาสูงกว่า แต่ยืดหยุ่นที่สุด
การเลือกขนาดอินเวอร์เตอร์
ขนาดของอินเวอร์เตอร์ควรสัมพันธ์กับกำลังวัตต์รวมของแผงโซล่าเซลล์ โดยมีหลักการง่ายๆ:
- สำหรับบ้านทั่วไป: ขนาดอินเวอร์เตอร์ = 0.8-1.0 × กำลังวัตต์รวมของแผง
- สำหรับพื้นที่ร้อนมาก: ขนาดอินเวอร์เตอร์ = 0.7-0.8 × กำลังวัตต์รวมของแผง (เนื่องจากอุณหภูมิสูงจะลดประสิทธิภาพของแผง)
ตัวอย่าง: ระบบแผงโซล่าเซลล์รวม 3 kW ควรใช้อินเวอร์เตอร์ขนาด 2.4-3 kW
ปัจจัยในการเลือกอินเวอร์เตอร์
- ประสิทธิภาพการแปลงพลังงาน: ควรสูงกว่า 95%
- การรับประกัน: โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-10 ปี
- ความสามารถในการขยายระบบ: หากวางแผนติดตั้งแผงเพิ่มในอนาคต
- คุณสมบัติการติดตามจุดกำลังสูงสุด (MPPT): ช่วยให้ได้พลังงานสูงสุดจากแผง
- ความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบมอนิเตอร์: ตรวจสอบประสิทธิภาพผ่านแอปพลิเคชัน
แบตเตอรี่: กักเก็บพลังงานไว้ใช้ยามจำเป็น
แบตเตอรี่ใช้เก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซล่าเซลล์ เพื่อใช้ในช่วงเวลาที่ไม่มีแสงแดด โดยทั่วไปจำเป็นสำหรับระบบ Off-Grid หรือระบบไฮบริด
ประเภทของแบตเตอรี่โซล่าเซลล์
-
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion)
- อายุการใช้งานยาวนาน (3,000-5,000 รอบ)
- น้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัด
- ประสิทธิภาพสูง (95-98%)
- ไม่ต้องบำรุงรักษา
- ราคาสูง แต่ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง
-
แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด (Lead-Acid)
- หลายประเภทย่อย เช่น Flooded, AGM, Gel
- อายุการใช้งาน 500-1,000 รอบ
- ราคาถูกกว่าแบบลิเธียม
- ต้องการการบำรุงรักษา
- ขนาดใหญ่และหนัก
-
แบตเตอรี่นิกเกิลแคดเมียม (NiCd) และนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ (NiMH)
- ทนทานต่อการใช้งานหนัก
- ทำงานได้ดีในอุณหภูมิสูง
- มีความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
- ปัจจุบันไม่นิยมใช้ในระบบโซล่าเซลล์แล้ว
การคำนวณความจุแบตเตอรี่
ความจุแบตเตอรี่วัดเป็นแอมป์-ชั่วโมง (Ah) หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) โดยการคำนวณพื้นฐานมีดังนี้:
- คำนวณความต้องการพลังงานโดยรวมต่อวัน (kWh)
- กำหนดจำนวนวันที่ต้องการสำรองไฟ (ปกติ 1-3 วัน)
- คำนวณความจุแบตเตอรี่ = ความต้องการพลังงานต่อวัน × จำนวนวันสำรอง ÷ ความลึกในการคายประจุ (DOD)
ตัวอย่าง: บ้านใช้ไฟ 5 kWh/วัน ต้องการสำรอง 2 วัน และ DOD ของแบตเตอรี่ลิเธียมที่ 80% คำนวณได้ = 5 × 2 ÷ 0.8 = 12.5 kWh
ปัจจัยในการเลือกแบตเตอรี่
- ความลึกในการคายประจุ (Depth of Discharge): แบตเตอรี่ลิเธียมสามารถคายประจุได้ลึกถึง 80-90% ในขณะที่แบตเตอรี่ตะกั่วกรดแนะนำที่ 50%
- อายุการใช้งาน: จำนวนรอบการชาร์จ/คายประจุก่อนประสิทธิภาพลดลง
- อัตราการคายประจุตัวเอง: แบตเตอรี่ลิเธียมมีอัตราต่ำกว่า
- การบำรุงรักษา: บางประเภทต้องตรวจสอบระดับน้ำกรดเป็นประจำ
- อุณหภูมิการทำงาน: โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอากาศร้อน
ชาร์จคอนโทรลเลอร์: ผู้ควบคุมการชาร์จ
ชาร์จคอนโทรลเลอร์ทำหน้าที่ควบคุมการชาร์จไฟจากแผงโซล่าเซลล์เข้าสู่แบตเตอรี่ ป้องกันการชาร์จมากเกินไปหรือคายประจุมากเกินไป ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว
ประเภทของชาร์จคอนโทรลเลอร์
-
ชาร์จคอนโทรลเลอร์แบบ PWM (Pulse Width Modulation)
- ราคาประหยัด
- เหมาะกับระบบขนาดเล็ก
- ประสิทธิภาพประมาณ 75-80%
- แรงดันไฟฟ้าของแผงต้องใกล้เคียงกับแบตเตอรี่
-
ชาร์จคอนโทรลเลอร์แบบ MPPT (Maximum Power Point Tracking)
- ประสิทธิภาพสูงถึง 95-98%
- สามารถเพิ่มพลังงานที่เก็บได้ 20-30% เมื่อเทียบกับ PWM
- ทำงานได้ดีในสภาพอากาศที่หลากหลาย
- แพงกว่าแบบ PWM
- เหมาะกับระบบขนาดกลาง-ใหญ่
การเลือกขนาดชาร์จคอนโทรลเลอร์
ขนาดของชาร์จคอนโทรลเลอร์วัดเป็นแอมแปร์ (A) โดยการคำนวณพื้นฐานคือ:
- ขนาดกระแสไฟฟ้า = กำลังวัตต์รวมของแผง ÷ แรงดันของแบตเตอรี่ × 1.25
ตัวอย่าง: ระบบแผงโซล่าเซลล์ 1,000W, แบตเตอรี่ 24V คำนวณได้ = 1,000 ÷ 24 × 1.25 = 52A ควรเลือกชาร์จคอนโทรลเลอร์ขนาด 60A
ปัจจัยในการเลือกชาร์จคอนโทรลเลอร์
- ความเข้ากันได้กับแบตเตอรี่: บางรุ่นเหมาะกับแบตเตอรี่เฉพาะประเภท
- ฟังก์ชันป้องกัน: ป้องกันการลัดวงจร, การชาร์จมากเกินไป, การคายประจุมากเกินไป
- การแสดงข้อมูล: มีหน้าจอแสดงสถานะหรือเชื่อมต่อกับแอพได้
- ความสามารถในการรองรับอุณหภูมิสูง: สำคัญมากในประเทศไทย
อุปกรณ์เสริมที่จำเป็น
นอกจากอุปกรณ์หลักทั้ง 4 ประเภทแล้ว ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์:
-
โครงสร้างยึดแผง (Mounting Structure)
- โครงสร้างสำหรับหลังคา (Roof Mount)
- โครงสร้างสำหรับพื้นดิน (Ground Mount)
- ควรทำจากวัสดุทนทานต่อสภาพอากาศ เช่น อลูมิเนียมหรือเหล็กชุบกัลวาไนซ์
-
สายไฟโซล่า (Solar Cable)
- ออกแบบพิเศษทนต่อแสง UV และสภาพอากาศ
- ขนาดสายขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าในระบบ
-
ขั้วต่อ MC4 (MC4 Connector)
- ใช้ต่อสายไฟระหว่างแผงโซล่าเซลล์
- กันน้ำและทนแสง UV
-
ตู้ควบคุมและอุปกรณ์ป้องกัน
- เบรกเกอร์ DC และ AC
- อุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชก (Surge Protector)
- สายดิน (Grounding System)
-
ระบบมอนิเตอร์ (Monitoring System)
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ
- แจ้งเตือนเมื่อมีปัญหา
- บางระบบสามารถควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. ระบบโซล่าเซลล์ขนาดไหนเหมาะกับบ้านทั่วไป?
สำหรับบ้านทั่วไปในประเทศไทยที่ใช้ไฟฟ้าประมาณ 300-500 หน่วยต่อเดือน ระบบขนาด 3-5 kW นับว่าเหมาะสม สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 30-60% ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า
2. ติดตั้งเองได้หรือไม่?
แม้ว่าจะมีชุด DIY จำหน่าย แต่แนะนำให้ใช้บริการช่างผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแรงดันสูงและต้องการความรู้เฉพาะทาง อีกทั้งการติดตั้งโดยช่างที่ได้รับการรับรองจะได้รับการรับประกันที่ดีกว่า
3. ราคาโดยประมาณของระบบโซล่าเซลล์?
ราคาระบบโซล่าเซลล์ในประเทศไทย (ปี 2025) อยู่ที่ประมาณ:
- ระบบขนาด 3 kW: 120,000 - 180,000 บาท
- ระบบขนาด 5 kW: 180,000 - 250,000 บาท
- ระบบขนาด 10 kW: 350,000 - 500,000 บาท
ราคาอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับคุณภาพของอุปกรณ์ที่เลือกใช้ และมีแนวโน้มลดลงทุกปีเนื่องจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น
4. ระยะเวลาคืนทุนโดยประมาณ?
โดยทั่วไประยะเวลาคืนทุนอยู่ที่ 5-8 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดระบบ พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าในพื้นที่นั้นๆ
5. ต้องทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์บ่อยแค่ไหน?
ในสภาพอากาศของไทย แนะนำให้ทำความสะอาดทุก 3-4 เดือน หรือบ่อยกว่านั้นหากอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก เพื่อรักษาประสิทธิภาพของแผง
หลักการเลือกซื้อสำหรับมือใหม่
การเลือกซื้ออุปกรณ์โซล่าเซลล์อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับมือใหม่ แต่ด้วยหลักการง่ายๆ ต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น:
1. ประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าของคุณ
ก่อนที่จะเลือกซื้อระบบโซล่าเซลล์ใดๆ ให้ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าของคุณก่อน:
- ตรวจสอบบิลค่าไฟฟ้า ย้อนหลัง 6-12 เดือน เพื่อดูปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยของคุณ
- จัดทำรายการเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ใช้งานประจำ พร้อมกำลังวัตต์และชั่วโมงการใช้งาน
- ระบุช่วงเวลาที่ใช้ไฟฟ้าสูงสุด เพื่อวางแผนระบบให้เหมาะสม
2. เลือกประเภทระบบโซล่าเซลล์ที่เหมาะกับความต้องการ
- ระบบ On-Grid (เชื่อมต่อกับการไฟฟ้า): เหมาะสำหรับบ้านในเมืองที่มีไฟฟ้าเสถียร ต้องการลดค่าไฟ
- ระบบ Off-Grid (อิสระ): เหมาะสำหรับพื้นที่ห่างไกล ไม่มีไฟฟ้า หรือต้องการพึ่งพาตนเอง 100%
- ระบบ Hybrid (ผสม): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่น ต้องการใช้ไฟได้แม้ไฟดับ
3. พิจารณาพื้นที่ติดตั้ง
- ตรวจสอบพื้นที่หลังคา ว่ามีขนาดเพียงพอสำหรับแผงโซล่าเซลล์ที่ต้องการติดตั้งหรือไม่
- ทิศทางและมุมเอียง ในประเทศไทย ควรหันไปทางทิศใต้ มุมเอียงประมาณ 15-20 องศา
- ตรวจสอบเงา จากต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้างที่อาจบดบังแสงแดด
4. กำหนดงบประมาณ
- ตั้งงบประมาณที่เป็นไปได้ สำหรับการลงทุนระยะยาวนี้
- คำนึงถึงต้นทุนทั้งหมด รวมถึงค่าติดตั้ง บำรุงรักษา และการเปลี่ยนอุปกรณ์ในอนาคต
- พิจารณาเงินกู้พลังงานสีเขียว หรือโครงการสนับสนุนจากภาครัฐที่อาจช่วยลดภาระทางการเงิน
5. เลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือ ของบริษัทหรือร้านค้า
- อ่านรีวิวและความคิดเห็น จากลูกค้าเก่า
- เปรียบเทียบใบเสนอราคา จากผู้จำหน่ายหลายราย
- ตรวจสอบการรับประกัน และบริการหลังการขาย
6. ตรวจสอบคุณภาพและการรับรอง
- มองหาการรับรองมาตรฐาน เช่น มอก., IEC, UL เป็นต้น
- ตรวจสอบระยะเวลาการรับประกัน ของอุปกรณ์แต่ละประเภท
- ขอดูตัวอย่างผลงานที่ผ่านมา ของผู้จำหน่ายหรือผู้ติดตั้ง
7. ไม่หลงกับโปรโมชันที่ดูเกินจริง
- ระวังการโฆษณาที่เกินจริง เช่น การรับประกันผลประหยัดพลังงานที่สูงเกินไป
- อย่ารีบตัดสินใจ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ
- ตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน อย่างละเอียด
8. สอบถามเกี่ยวกับการดูแลรักษาและการอัพเกรด
- เรียนรู้การดูแลรักษาพื้นฐาน เช่น การทำความสะอาดแผง
- สอบถามเกี่ยวกับการขยายระบบในอนาคต หากต้องการเพิ่มกำลังการผลิต
- ทำความเข้าใจระบบมอนิเตอร์ เพื่อสามารถติดตามประสิทธิภาพของระบบได้ด้วยตนเอง
สรุป
การติดตั้งระบบโซล่าเซลล์เป็นการลงทุนระยะยาวที่ไม่เพียงช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า แต่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เมื่อเข้าใจอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นและหลักการเลือกซื้อที่เหมาะสมแล้ว คุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบบโซล่าเซลล์แบบ "one-size-fits-all" ที่เหมาะกับทุกบ้าน การเลือกระบบที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งปริมาณการใช้ไฟฟ้า พื้นที่ติดตั้ง สภาพภูมิอากาศในท้องถิ่น และงบประมาณของคุณ
การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ระบบโซล่าเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คุ้มค่าการลงทุน และตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างแท้จริง
เริ่มต้นวันนี้ คุณอาจเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานสะอาดที่ยั่งยืน ด้วยการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ที่บ้านของคุณเอง!
ติดต่อเราวันนี้!
โทร. 061545-5353 / 092-248-2637 / 061-545-5353